วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

วิจารณ์หนัง: สุดเสน่หา (Blissfully Yours:2002)

             
          จะมีภาพยนตร์สักกี่เรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเราที่สุดแสนธรรมดาลงบนแผ่นฟิล์ม แล้วแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีนัยได้เท่ากับภาพยนตร์ของพี่เจ้ย ดังเช่นเรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours; 2002) เรื่องราวความรักอีโรติกระหว่างมิน ชายชาวพม่าที่หลบหนีเข้าเมืองไทยเพื่อตามหาความฝันแต่ท้ายที่สุดก็คว้านำ้เหลว ได้แต่ฝันถึงแต่การได้กลับไปบ้านเกิดของตนอีกครั้ง กับรุ่ง หญิงสาวพนักงานโรงงานที่ทำงานเสียจนปวดมือ และยังมีตัวละครหลักอีกหนึ่งตัวคือ ป้าอรที่ถูกจ้างโดยรุ่ง ผู้ซึ่งมีสามีเป็นข้าราชการ เคยมีลูกแต่เสียชีวิตและกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัยกลางคนที่ดำเนินชีวิตมาผิดพลาดและครำ่ครวญถึงการได้ลูกอีกครั้งแม้ว่าจะล่วงเลยวัยมานานแล้วเต็มที หนังเริ่มด้วยบทสนทนาอันเย็นชาของหมอกับรุ่ง ป้าอรในคลินิก หนังเรื่องนี้เน้นแง่มุมความคิดของผู้หญิง (Feminism) เช่น การใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร (มินต้องฝึกพูดภาษาไทย) หรือว่าการกระทำต่างๆ ที่ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หนังมีหลายประเด็นที่น่าสนใจเช่น 




  • แผลบนผิวหนังของมินที่เกิดขึ้นเมื่อมาอยู่ที่ไทย คล้ายกับปัญหาด้านสัญชาตของเขาที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน
  • ช่องโหว่ของประเทศที่แม้จะมีการร่างกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่ก็ไม่รัดกุม (ฉากที่ป้าอรพามินไปหาแฟนป้าที่สถานที่ราชการ)
  • ป้าอรเลือกที่จะ "เชื่อ" ว่าครีมทาผิวที่คิดสูตรขึ้นเองจะรักษาแผลบนผิวของมินได้ (ความไม่สมดุลระหว่างทางกายและทางจิตของการรักษาทางการแพทย์ คนไข้ขาดศรัทธาในตัวหมอ)
  • การถ่ายภาพบนรถยนต์ที่เน้นการถ่ายจากด้านหลังรถ (มุมมองที่เราปุถุชนไม่สนใจ) เพื่อเป็นการบอกว่าตัวละคร มักจะมองแต่การก้าวไปข้างหน้าโดยลืมมองไปข้างหน้า (เช่นเดียวกับฉากที่รุ่งถามมินว่าขากลับจะกลับยังไง)

  • ด้วยความที่ป้าอรไม่มีลูก จึงดูแลมินราวกับว่าเป็นลูก (เสน่หา) ไม่ให้ใครมายุ่ง (ฉากที่มีเกย์มาติดพันมิน)
  • ฉากที่รุ่งนั่งคลำมือมินไปตลอดทางระหว่างที่กำลังจะไปป่า โดยที่ขับรถไม่ค่อยจะมองทาง หรือโกหกเจ้านายเพื่อจะได้ไปเที่ยวยามบ่ายกับมิน แสดงถึงความเสน่หาที่ครอบงำจิตใจให้ลืมมองถึงตัวของตนเอง

  • ป่าในเรื่องนี้เป็นเหมือนรโหฐานของมิน เข้าได้หลบหลีกความวุ่นวายในเมือง (มินเริ่มทอดเสื้อผ้าออกเมื่ออยู่ในป่า หรือว่ากิริยาที่เก็บผลไม้กินราวกับเป็นสัตว์ป่า ทำให้รู้สึกว่าเมื่อเราเข้าป่า ทุกคนก็มีค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะถือสัญชาตใด)

  • ความแตกต่างระหว่างสังคมในเมืองกับในป่า เช่น เวลา ในป่าเป็นเสมือนสถานที่ที่ไร้ซึ่งกาลเวลา (ในเมืองจะมีเสียงต่างๆที่บอกถึงเวลาเช่น วิทยุ) ณ จุดๆนี้ขอชื่นชมเทคนิคด้านเสียงของหนังเรื่องนี้มาก
  • ในป่าเป็นที่ที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ ทุกคนทุกสิ่งมีชีวิตมีคุณค่าเท่ากัน (กิริยาที่เก็บผลไม้กินของมินราวกับเป็นสัตว์ป่า และมินกลับกลายเป็นผู้ชี้นำในป่า - ฉากที่รุ่งต้องถามว่าผลไม้ชนิดนี้กินได้หรือไม่)
  • รุ่งอารมณ์เสียขณะที่กำลังจูบกับมิน เพราะมินเจ็บแผล ราวกับมันเตือนความจำของมินว่ารักที่ทั้งสองกำลังสร้างนั้นเป็นรักต้องห้าม)
  • ฉากที่ป้าอรร่วมรักกับเกย์ แสดงถึงว่าความสุขที่ป้าอรได้มาช่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างง่ายได้ (เกย์ถูกขโมยรถและถูกยิงตาย) ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของป้าอรที่อยากจะลูก (เกย์ใส่ถุงยาง)
  • ฉากมินและรุ่งเอาขาจุ่มนำ้ริมลำธารที่ “เย็นฉ่ำ” ด้วยกัน ราวกับเป็นสัญญารักที่ทั้งสองจะเดินไปบนเส้นทางนี้ที่เลือกมาด้วยกัน ต่างจากป้าอรและเกย์ที่ร่วมรักกันใกล้ๆกับถนนที่ “แห้ง ร้าง ปล่าวเปลี่ยวและอันตราย”





  • เมื่อป้าอรเข้ามาในป่า ราวกับเข้ามาห้วงลึกของจิตใจตัวเอง เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย (เอา mask มาปิดหรือการที่ได้ยินเสียงสัตว์ร้าย) ไม่ใช่ที่(ดินแดนแห่งความรักของมินและรุ่ง)ของตนเอง (พรำ่บอกมินว่าเมื่อไรจะกลับ) และยิ่งเดินไปเรื่อยๆก็ยิ่งแต่เป็นการทำร้ายตัวเองและ “หลงทาง” จนได้มาเจอมินและรุ่งกำลังแสดงความรักกันคล้ายว่าเป็นการย้ำเตือน โอกาสที่ได้จะมีคนมาเสน่หาป้าแบบนั้นยิ่งริบหรี่ลงเต็มที)
  • ฉากที่ป้าทิ้งขยะลงริมธารราวกับเป็นการสาปส่งความรักระหว่างมินกับรุ่ง (รุ่งเหมือนเป็นคนที่มาขัดขวางความเสน่หาที่ป้าอรมีต่อมิน)





  • ป้าอรมองที่เหี่ยวไปตามกาลเวลาของตัวเองในนำ้ ยิ่งตอย้ำป้าว่า นี่ไม่ใช่ที่ๆป้าควรจะมาอยู่เลยแม้แต่น้อย (ยิ่งป้าคิดลึกลงไปในใจที่ขุ่นเคืองตัวเองเท่าไหร่ ก็เสมือนเป็นการทำร้ายตัวเอง)
  • ป้าอรยอมเล่นนำ้ ทำตัวเป็นเด็ก (ประสบการณ์น้อย ไม่มีอะไรคับข้องใจ) ทำให้อาการกระวนกระวายใจของป้าลดลง





  • ป้าอรนอนร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว ที่นิ้วนางข้างซ้ายมีแหวน (ยิ่งตอกย้ำว่าแม้จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ต้องรู้สึกเดียวดาย)ในมือมีบุหรี่ ในขณะที่ในมือรุ่งจับองชาติ (สัญลักษณ์แห่งความเสน่หา) มีเพียงกอไม้กั้นระหว่างคนสองวัย
  • ภายในใจของรุ่งขณะที่นอนเคียงข้างมิน เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หวาดหวั่นถึงความรักครั้งนี้ว่าจะไปได้ไกลสักเท่าไหร่ เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ฉาบฉวย

  • ตอนท้ายของหนังยังกล่าวว่า ในท้ายที่สุดรุ่งก็แยกทางกับมิน และป้าอรก็ไปแสดงเป็นตัวประกอบอื่นๆ (ตอกย้ำความไม่แน่นอน)




          ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเสมือนการย้ำเตือนว่า หลายๆสิ่งไม่จีรังยั่งยืน และหนึ่งในนั้นก็คือ เสน่หา (ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์) สักวันก็จะมีอะไรต่อมิอะไรมาพรากจากเราไป (มดตอมอาหาร ทำลายช่วงเวลาแห่งความสุข)  ดังตัวอย่างของคนสองวัยในหนัง มีเพียงใจเราที่เราาจะเข้าใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างได้หรือไม่ เราเลือกที่จะเป็นคนแก่ๆ ที่นอนร้องไห้กับตัวเอง หรือเป็นคนที่มีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตในทุกๆวัน


สวัสดีปิดเทอม























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น