เรื่องราววัยรุ่น 4 คนที่เป็นเหมือนของคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสมัยใหม่ทามกลางสังคมอันย้อยแย้ง คนแรก “ยอง” เป็นนักเรียนดีเด่น พ่อแม่คาดหวังให้ไปเรียนเมืองนอก ปลูกฝังให้เด็กเป็นคนมองประเทศไทยเป็นเหมือนรังนกที่เมื่อเติบโตขึ้นก็ทิ้งรังให้ว่างปล่าว แต่ก็แฝงถ้อยคำที่เจ็บแสบถึงวงการการศึกษาของไทยที่ยังไปไม่ถึงไหน เด็กคนที่ 2 “เจ” เป็นนักเรียนตัวแทนแข่งขันตอบวิทยาศาสตร์คู่หูกับยอง เสพติดหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น และสร้างโลกมายาคติขึ้นมา คิดฝันจินตนาการราวกับว่าชีวิตจริงจะดำเนินเรื่องราวเช่นเดียวกับการ์ตูน เด็กคนที่ 3 “เบส” นักกีฬาปิงปอง รักปิงปองเป็นชีวิตจิตใจ อยากได้ไม้ปิงปองจากต่างประเทศ แต่กลับไม่สนใจสุขภาพตัวเอง (สูบบุหรี่) เด็กคนที่ 4 “เอ็ม” นักเรียนโรงเรียนช่าง แต่หลงรักการ Cover Dance แบบเกาหลี ขยันฝึกซ้อมจนลืมเรื่องการเรียน ในขณะเดียวกันก็มีแฟน และมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไมไ่ด้ป้องกัน จนมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ ทั้ง 4 คนต้องมาร่วมกับแก้บนตามสิ่งที่ตัวเองได้ขอไว้ แต่ติดตรงที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลยไปปรึกษา “พี่นัท” สาวประเภทสองให้ฝึกซ้อมให้ ภาพยนตร์แอบซ่อนสัญลักษณ์ที่แฝงไว้ซึ่งปัญหาและข้อคิดมากมายที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยนำเสนอพร้อมๆ กับช่วงเวลาเดียวกับการชุมนุมทางการเมือง ผู้กำกับไม่พยายามชักจูงให้เรามองว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี เพียงแต่ตั้งคำถามให้เราคิดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ผมชอบที่หนังใช้โปรแกรมคล้ายๆกับ Simsimi (โปรแกรมหนึ่งที่คนไทยเคยฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นโปรแกรมที่คนที่ใช้ภาษาเดียวกันจะตั้งคำถามและตอบกันเอง) ตอบโต้กับยอง เหมือนกันว่าบางครั้งเจ้าโปรแกรมก็ตอบโต้ในสิ่งที่เราไม่เคยยั้งคิด ไม่เคยฉุกคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ความเป็นไทยนั้น คืออะไรกันแน่ คือการรำไทย คือการเห็นแก่พรรคพวก (ฉากในร้านเกม) คือการฆ่าล้างผลาญกันของคนในชาติ คือการเย้ยหยันกับเพศที่สาม หรือคือการที่เมล็ดพันธู์ใหม่ของคนในชาตเห็นชาติอื่นดีกว่าชาติของตนเอง ไม่มีใครจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีกว่าเราพี่น้องคนไทย ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเหมาะสำหรับคนไทยที่สุดด้วยประการทั้งปวง
Tempy Movies Critics
วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557
วิจารณ์หนัง: ตั้งวง, 2013 (Short Comments)
เรื่องราววัยรุ่น 4 คนที่เป็นเหมือนของคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสมัยใหม่ทามกลางสังคมอันย้อยแย้ง คนแรก “ยอง” เป็นนักเรียนดีเด่น พ่อแม่คาดหวังให้ไปเรียนเมืองนอก ปลูกฝังให้เด็กเป็นคนมองประเทศไทยเป็นเหมือนรังนกที่เมื่อเติบโตขึ้นก็ทิ้งรังให้ว่างปล่าว แต่ก็แฝงถ้อยคำที่เจ็บแสบถึงวงการการศึกษาของไทยที่ยังไปไม่ถึงไหน เด็กคนที่ 2 “เจ” เป็นนักเรียนตัวแทนแข่งขันตอบวิทยาศาสตร์คู่หูกับยอง เสพติดหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น และสร้างโลกมายาคติขึ้นมา คิดฝันจินตนาการราวกับว่าชีวิตจริงจะดำเนินเรื่องราวเช่นเดียวกับการ์ตูน เด็กคนที่ 3 “เบส” นักกีฬาปิงปอง รักปิงปองเป็นชีวิตจิตใจ อยากได้ไม้ปิงปองจากต่างประเทศ แต่กลับไม่สนใจสุขภาพตัวเอง (สูบบุหรี่) เด็กคนที่ 4 “เอ็ม” นักเรียนโรงเรียนช่าง แต่หลงรักการ Cover Dance แบบเกาหลี ขยันฝึกซ้อมจนลืมเรื่องการเรียน ในขณะเดียวกันก็มีแฟน และมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไมไ่ด้ป้องกัน จนมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ ทั้ง 4 คนต้องมาร่วมกับแก้บนตามสิ่งที่ตัวเองได้ขอไว้ แต่ติดตรงที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลยไปปรึกษา “พี่นัท” สาวประเภทสองให้ฝึกซ้อมให้ ภาพยนตร์แอบซ่อนสัญลักษณ์ที่แฝงไว้ซึ่งปัญหาและข้อคิดมากมายที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยนำเสนอพร้อมๆ กับช่วงเวลาเดียวกับการชุมนุมทางการเมือง ผู้กำกับไม่พยายามชักจูงให้เรามองว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี เพียงแต่ตั้งคำถามให้เราคิดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ผมชอบที่หนังใช้โปรแกรมคล้ายๆกับ Simsimi (โปรแกรมหนึ่งที่คนไทยเคยฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นโปรแกรมที่คนที่ใช้ภาษาเดียวกันจะตั้งคำถามและตอบกันเอง) ตอบโต้กับยอง เหมือนกันว่าบางครั้งเจ้าโปรแกรมก็ตอบโต้ในสิ่งที่เราไม่เคยยั้งคิด ไม่เคยฉุกคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ความเป็นไทยนั้น คืออะไรกันแน่ คือการรำไทย คือการเห็นแก่พรรคพวก (ฉากในร้านเกม) คือการฆ่าล้างผลาญกันของคนในชาติ คือการเย้ยหยันกับเพศที่สาม หรือคือการที่เมล็ดพันธู์ใหม่ของคนในชาตเห็นชาติอื่นดีกว่าชาติของตนเอง ไม่มีใครจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีกว่าเราพี่น้องคนไทย ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเหมาะสำหรับคนไทยที่สุดด้วยประการทั้งปวง
วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557
วิจารณ์หนัง: Dallas Buyers Club, 2013 (Short Comments)
Ron Woodroof (Matthew McConaughey) หนุ่มช่างไฟฟ้าแห่งเมืองดาลลัสที่ใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างสุดเหวี่ยงราวกับวัวกระทิงที่บ้าคลั่ง ด้วยบุคคลิกที่แข็งกร้าว หยาบโลน และช่ำชองเจนโลกราวกับว่าเขาไม่กลัวอันตรายใดๆที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อวันหนึ่งหมอได้บอกกับเค้าว่าเขาติดเชื้อร้ายแรงและหลือเวลาอีกไม่มากที่เขาจะได้ใช้ชีวิต เขาปฏิเสธ จนเริ่มตระหนักรู้ถึงพิษภัยร้ายที่ที่กำลังคุกคามบนร่างกายเขาราวสงครามที่กำลังปะทุขึ้น เขาไคว่คว้า ค้นหายาทุกแขนงที่จะช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากโรคร้าย จนเขาค้นพบว่ายาที่โรงพยาบาลจ่ายให้กับผู้ป่วยโรคนี้เป็นอันตรายแถมยังมีเบื้องหลังอันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าพยาธิสภาพที่เขากำลังประสบอยู่ เขาเดินทางตามหายาทางเลือกที่เขาเชื่อว่าจะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเจ็บป่วยทั่วทิศทั่วแดน อีกทั้งยังยอมเสี่ยงที่จะเอายาเหล่านั้นกลับมาในประเทศที่ในขณะนั้นวงการสาธารณสุขแปดเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าแห่งความฉ้อฉล การที่เขาลักลอบเป็นการสร้างผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งในขณะเดียวกับเขาก็มีโอกาสรู้จักกับสังคมเพศที่สามอันกล่าวได้ว่าชั่วชีวิตเขาคงไม่มีมีโอาสย่างกรายเข้าไปอย่างแน่นอน ผ่าน Rayon (Jared Leto) ที่ท้ายที่สุดชีวิตเขาก็จบลงอันไม่ต่างอะไรจากความชอบธรรมในสังคมที่มองว่าการเหยียดหยามทางเพศเป็นเรื่องชาชิน การต่อสู้ของ Ron และเพื่อนๆของเขาจึงไม่ต่างกับรูปวาดดอกไม้ที่ไม่ว่าจะไปตั้งไว้ ณ ที่ใด มันก็ยังคงเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานแม้ว่าเบื่องหลังจะปิดบังความโหดร้าย ทารุณของคนในชาติเดียวกันไว้ก็ตาม นับตั้งแต่วันแรกที่เขาเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน ในท้ายที่สุดเขาได้โลดแล่นบนโลกใบนี้ถึง 7 ปี นั่นไมไ่ด้ความว่าเขาอยู่โดยที่เขาไม่ได้ต้องการตาย แต่เขาอยู่เพราะเขาต้องการตายโดยที่เขาได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีคุณค่าแล้วเท่านั้นเอง
วิจารณ์หนัง: Blue Jasmine, 2013 (Short comments)
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
วิจารณ์หนัง: สัตว์ประหลาด (Tropical Malady, 2004)
เรื่องราวก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนวัยหนุ่มสาว เพียงแต่หนังนี้นำเสนอในรูปแบบของรักร่วมเพศ ระหว่าง เก่ง นายทหารที่บังเอิญมาพบกับ โต้ง เด็กบ้านนอกผู้มีอาชีพเป็นพนักงานโรงงานทำนำ้แข็งในเมือง หนังได้แบ่งเป็นสองช่วง คือช่วงในเมือง และในป่า (เหมือนกับสุดเสน่หา) เรื่องราวมีหลากหลายประเด็นแทรกสอดอยู่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร จิตวิญญาณอันดิบเถื่อนของคน (สัตว์ป่า) ดังนั้นผมขอเล่าเป็นฉากๆ ละกันน่ะครับ
ตอนที่ 1 (ในเมือง)
- เริ่มด้วย qoute ของทอน นาคาจิมา ที่บอกทำนองว่า เราต้องควบคุมสัตว์ร้ายที่มีอยู่ในใจเราให้ได้
- เริ่มด้วยกลุ่มทหารพบศพชายปริศนากลางป่า (ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคือโต้ง) แต่ทั้งกลุ่มกลับถ่ายรูปกันอย่างเฮฮาและไม่ตกอกตกใจกับสิ่งที่เห็น ราวกับเป็นแค่ซากของ “สัตว์ป่า” ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งเดี๋ยวผมจะเอาไปเชื่อมโยงข้อมูลจากตอนหลังอีกที
- ฉากเหมือนเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ (สัตว์ประหลาด) เดินกลางทุ่ง ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคือตัวเก่งก็คือ สัตว์ประหลาดที่เดินท่องเที่ยวในจิตใจของตนเอง
- ชาวบ้านก็ดูไม่แปลกประหลาดใจ (ในวงกินข้าว ชาวบ้านเล่าเรื่องผีอย่างสนุกสนาน ไม่น่ากลัว) กับศพที่ทหารเอามาฝากไว้ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติที่เคยชิน
- ฉากที่ป้าหั่นหอมกับฉากที่คุณลุงมาที่เขียงเช่นกันตอนกลางคืน มันชวนให้นึกถึง โต้งที่ชอบใส่ชุดทหาร เหมือนกับเก่ง ว่าน่าจะมีนัยอะไรบางอย่าง เหมือนเป็นปูทางให้กับเรื่องราวต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อหน้าผู้ชมหลังจากนี้
- โต้งจ้องหญิงสาวบนรถประจำทาง หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย ดูมีใจให้กัน และแล้วหญิงสาวก็หญิงโทรศัพท์มาคุย และดูกระหนุงกระหนิงเหมือนว่าคนในโทรศัพท์ก็ดูเป็นคนรู้ใจกัน สื่อถึงว่าการสื่อสารไม่ว่าจะด้วย โทรศัพท์ การพูด การเขียน หรือวิทยุ ล้วนแต่ผ่านการกลั่นกรองจากจิตใจในด้านที่มีสัมปชัญญะ น้อยครั้งที่เราจะแสดงสัญชาตญาณดิบเถื่อน(สัตว์ร้าย) ออกมาในคนอื่นได้รับรู้ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ดูจะมีคนรักอยู่แล้วแต่ก็ดูจะมีใจให้ชายอื่น เหมือนกับว่าตนเองไม่สามารถความคุมสัตว์ร้ายในตัวได้
- เก่งกับโต้งดูเป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละคนมีชีวิตที่คนละทิศละทาง เก่งดูเป็นนายทหารที่ดูเจนโลก รู้จักกับคนหลายคนไม่ว่าจะเป็นคนที่เจอในห้องนำ้ในโรงหนัง ผู้นำเต้นแอโรบิก นายทหารอีกคนที่มาพัวพันกับเก่งบนรถ หรือแม้แต่เรา (จำได้หรือไม่ว่าเก่งจ้องเรา ราวกับคุ้นเคยสนิทสนนกันมาก่อน บอกเป็นนัยว่าเราทุกคนต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น) ในขณะที่โต้งดูเป็นคนอ่อนต่อโลก เขียนหนังสือไม่ถนัด ขับรถไม่เป็น ติดเกมเหมือนเด็ก เหมือนกับฉากที่เขานั่งรถคนละคน เก่งนักรถบรรทุกทหาร แต่โต้งนั่งบนรถประจำทาง และดูจะชอบและสนใจในผู้หญิง
- สิ่งที่เก่งจะทำกับโต้งต่อจากนี้จึงเหมือนเป็นการบีบเค้น เปลี่ยนแปลงตัวตนของโต้ง ราวกับให้โต้งแสดงสันดานดิบของตนออกมา สังเกตว่าพฤติกรรมของเก่งจะดูเป็นการบุกรุกเข้ามาในชีวิตของเก่ง เช่น ให้เทปวงแคลช สอนขับรถ พาหมาไปหาหมอ เขียนหนังสือให้ ทำให้โต้งรู้สึกว่าเป็นที่พึ่งพิง เขียนบอกรักผ่านกระดาษ จับเข้าโต้ง (เหมือนในเรื่องสุดเสน่หา) หรือหอมที่มือโต้ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการเปลี่ยนชีวิตของโต้งไปเป็นในแบบที่เก่งชอบและเก่งเป็น
- ในขณะเดียวกันโต้งก็มองว่าพฤติกรรมที่ออกมาจากจิตวิญญาณสัตว์ป่าของเก่ง เป็นเรื่องเล่นๆ สนุก น่าขัน คงเพราะยังเป็นตัวตนเดิม เช่น เก่งจับเข่าในโรงหนัง แต่โต้งกลับคิดว่าเก่งจะเล่น เก่งบอกว่าลายมือเราต่อกันเหมือนเรือสุพรรณหงษ์แต่โต้งกลับล้อไปว่าเหมือนเรื่อพาย
- ผู้กำกับคงต้องการให้ความรักระหว่างโต้งกับเก่ง เป็นความรักในอุดมคติ เหมือนในหนังในละคร ราวกับเป็นตัวอย่างของความรักในสังคมสมัยนี้ โดยผ่านการสื่อสารที่ดูเกินความจริง เช่น ทหารคุยวิทยุกับสาวที่ดูเหมือนเป็นเสียงพริตตี้เสียมากกว่า โต้งร้องเพลงที่เพราะเกินจริงในร้านอาหาร หรือเก่งบอกว่าอยากดีดกีต้าให้โต้งฟัง “เหมือนในหนัง”
- โต้งเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง เริ่มควบคุมสัตว์ป่าในตัวไม่ได้อย่างที่เคยเป็น เช่นเอากระดาษใส่กระเป๋ากางเกงของเก่ง ไม่อายป้า หรือนั่งรถมอไซค์กับเก่ง (ราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) หรือป้ามองว่าโต้งเป็นทหาร
- ป้าพาสองคนไปในส่วนลึกถ้ำลึกลับ ป้าเล่าว่ามีคนเข้าไปแล้วเทียนดับ หรือโดนแก๊สพิษตายอยู่ในถ้ำ โต้งอยากไป (เหมือนตัวเองเริ่มเป็นสัตว์) แต่เก่งไม่อยากไป (เหมือนชาติที่แล้วเคยเข้าป่า แล้วพบความจริงอันโหดร้าย อันจะได้กล่าวต่อไป)
- เก่งนั่งบนรถขนทหารข้างๆมี นายทหารมาติดพัน คนรอบข้างกลับเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่รู้ว่าเก่งชอบโต้งอยู่ เหมือนกับฉากแรกที่เห็น คนศพในป่า บอกเป็นนัยว่าในสังคมสมัยใหม่นี้ เรามองว่าเรื่องการแสดงความดิบเถื่อนออกมาเป็นชินชาไปเสียแล้ว แนวคิดเช่นนี้จะนำพาแต่ความวุ่นวายมาสู่สังคม (ฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์)
- ขากลับเก่งมาส่งโต้ง โดยโต้งเป็นคนขับ (แสดงถึงว่าตอนนี้โต้งควบคุมตัวเองไมไ่ด้แล้ว มีลักษณะเหมือนกับโต้ง เป็นแบบที่โตงเป็น) โต้งแวะฉี่ข้างทาง (ป้ายข้างๆเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสาร) เก่งหอมมือโต้ง (แสดงสัตว์ร้ายในตัว) โต้งตอบกลับด้วยกริยาที่ดิบเถื่อนกว่า คือเลียมือเก่งราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่า และหายไปในความมืด
- รุ่งเช้าโต้งตื่น มองไปที่ป่าและหายตัวไป เก่งมาหาที่บ้านนั่งดูรูปโต้ง รูปแรกเป็นโต้งไปทะเลวัยใส รูปต่อมารูปโต้งใส่ชุดทหาร (เหมือนเก่ง)
- จากฉากแรก ศพของชายคนนั้นอาจจะเป็นเศษซากของความสัมพันธ์อันฉาบฉวย เต็มไปด้วยเล่ห์กล ปลิ้นปล่อนระหว่างโต้งกับเก่ง ที่ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องชาชินสำหรับสังคมสมัยใหม่
ตอนแรกจึงเป็นเหมือนการวิพากย์วิจารณ์ความรักที่เต็มไปด้วยความอยากอันเกิดแต่ความดิบเถื่อนในจิตใจของคนเรา ขาดความใกล้ชิด ความเข้าใจระหว่างกัน หรือแม้แต่พยายามเปลี่ยนอีกคนให้กลายเป็นอีกคนตามที่เราขาดหวังไว้ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงเป็นอะไรที่ฉับไว รวดเร็ว แต่ก็เปราะบาง และผ่านไปเร็วเช่นกัน
ตอนที่ 2 (ในป่า)
- เริ่มด้วยการเล่านิทานชาวบ้าน เกี่ยวกับผีเสือ (สัตว์ประหลาด) สามารถปลอมแปลงตัวเองไปหลอกชาวบ้าน ที่ถูกฆ่าโดยนายพรานและวิญญาณของผู้ที่ถูกฆ่าก็จะไปสิ่งในตัวคนฆ่า คล้ายกับเก่งที่หลอกคนอื่นไปทั่ว รวมทั้งโต้ง
- นายทหารเข้าป่าเพื่อตามหาผีเสือที่คอยฆ่าสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน เขาดูคุ้นชินกับรอยเท้าหรือเลือด เหล่านั้น “ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเสือผีมาก่อน” แต่นายทหารกับเก่งต่างกันตรงที่นายหารกลับดูหวาดกลัว ไม่กล้าเผชิญหน้า เหมือนตอนที่เก่งจะเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำลึกลับ)
- การสื่อสารต่างๆ ที่เคยมีแบบในสังคมเมืองจบสิ้นลง บทสนทนาในช่วงหลังแถบไม่มี วิทยุใช้การไม่ได้ ปล่อยให้แสงของธรรมชาติช่วยนำทาง
- เมื่อนายทหารเข้ามาในป่า จึงเหมือนเข้ามาในจิตใจตัวเองเพื่อค้นหาความจริงในก้นบึ้งที่มีแต่สัตว์ร้ายเท่านั้นที่เข้ามาได้และจะได้รับความจริงออกไป หากยังดื้อรั้นต่อต้าน ไม่ใช้ความเป็นสัตว์ (ยังพยายามใช้วิทยุ กินอาหารแบบคน) ก็จะไม่ได้รับรู้ความจริง
- ผีเสือพยายามเข้าไปในฝันของนายทหาร เพราฝันเป็นสิ่งเดียวในตัวนายทหาร ที่แสดงสัญชาตญาณออกมา เราไม่สามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้ในฝัน
- นายทหารเดินหลงในป่า (เดินแล้วก็ยังพบกองอุจจาระของตัวเอง) เพราะยังไม่ยอมแสดงความสัตว์ออกมา
- ผีเสือสนใจในวิทยุสื่อสารเพราะมันต่างจากเขาในแง่ที่มันเป็นของๆ คน แต่เขาเป็นสัตว์ประหลาด (กึ่งคนกึ่งสัตว์) ผีเสือสามารถพูดกับวิทยุได้ “ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนมาก่อน”
- นายทหารแพ้ให้กับผีเสือถึงแม้ว่าผีเสือจะดูอิดโรย และนายทหารจะเพิ่งกินข้าวและตื่นได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีพละกำลังจะสู้กับผีเสือ เพราะเขายังเป็นคนในถิ่นของสัตว์ป่า
- นายทหารไม่ยิงผีเสือทั้งที่มีโอกาส เพราะเขายังไม่กล้าที่จะควบคุมสัตว์ร้าย เขาจ้องที่มือของตัวเอง (เหมือนป้าอรจ้องมือตัวเอง ในสุดเสน่หา) แต่ในครั้งนี้เขากลับสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่ฆ่าผีเสือ
- ผีเสือทิ้งสิ่งของต่างๆ ในสภาพที่ใช้งานไม่ได้เป็นการบอกกลายๆว่า ให้เลิกใช้สิ่งของเหล่านี้ แล้วแสดงสัตว์ร้ายในตัวออกมา
- นายทหารพบซากวัวที่ถูกฆ่าโดยผีเสือ ซากของสัตว์จึงเป็นเหมือนสิ่งที่หลงเหลือจากการแสดงสัตว์ร้ายในตัวตนออกมานายทหารกลับขเ้าไปในป่าอีกครั้ง แต่ในฐานะของสัตว์ป่า เขาเริ่มที่จะพูดคุยกับลิงได้ มาเตือนว่าผีเสือเป็นเหมือนเพื่อนและศัตรู (แท้จริงแล้วสัตว์ร้ายก็เป็นสิ่งกลางๆ ถ้าหากเราควบคุมมันอย่างเหมาะสมได้ก็จะดี) บอกให้นายทหารเลือกที่จะฆ่าเสือ เพื่อที่จะรับเอาวิญญาณมันเข้ามา (ฆ่าเสือจึงเป็นเมหือนการที่เราควบคุมสัตว์ร้ายในตัวได้) หรือเลือกที่จะให้มันฆ่าเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมัน (ถูกเสือฆ่าก็จึงเหมือนเราปล่อยให้สัตว์ร้ายในตัวเราเป็นอิสระ)
- นายทหารใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ป่า ฆ่าปลากิน และเขาเลือกที่จะฆ่าเสือ แต่ผลจากการฆ่าผีเสือเขาบังเอิญไปทำร้ายอีกชีวิต คือ วัว วิญญาณ ของมันหายเข้าไปในป่า ราวกับเป็นการบอกว่าบัดนี้ นายทหารได้กลายเป็นสัตว์ร้ายแล้ว แสงของหิ่งห้อยที่เคยมีก็หายไป ราวกับเป็นการย้ำเตือนว่านายทหารได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่า (ในใจเรา)
- ผู้กำกับได้เฉลยเรื่องราวว่า ความจริงแล้วเสียงปืนที่ดังขึ้น เสียงอะไรบาอย่างคลานบนพื้น เสียงกระทบไม้ที่ดังขึ้นในตอนแรกก็คือเสียงของนายทหารเอง ราวทั้งคำพูดของนายทหารเองที่เมื่อเผชิญหน้ากับเสือในฐานะสัตว์ร้ายที่ว่า เขาจ้องเสือเห็นตัวเอง คงไม่มีอะไรที่น่าหวาดกลัวไปกว่าการได้รับรู้ว่าชั่วร้ายที่สุดโต่งราวกับสัตว์ป่า
- ตอนท้ายของหนังมีเสียงของเลื่อยตัดไม้ ราวกับเป็นการบอกว่า การทำลายป่าก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงความโลภ อยากได้อยากมีของมนุษย์
วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557
วิจารณ์หนัง: สุดเสน่หา (Blissfully Yours:2002)
จะมีภาพยนตร์สักกี่เรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเราที่สุดแสนธรรมดาลงบนแผ่นฟิล์ม แล้วแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีนัยได้เท่ากับภาพยนตร์ของพี่เจ้ย ดังเช่นเรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours; 2002) เรื่องราวความรักอีโรติกระหว่างมิน ชายชาวพม่าที่หลบหนีเข้าเมืองไทยเพื่อตามหาความฝันแต่ท้ายที่สุดก็คว้านำ้เหลว ได้แต่ฝันถึงแต่การได้กลับไปบ้านเกิดของตนอีกครั้ง กับรุ่ง หญิงสาวพนักงานโรงงานที่ทำงานเสียจนปวดมือ และยังมีตัวละครหลักอีกหนึ่งตัวคือ ป้าอรที่ถูกจ้างโดยรุ่ง ผู้ซึ่งมีสามีเป็นข้าราชการ เคยมีลูกแต่เสียชีวิตและกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัยกลางคนที่ดำเนินชีวิตมาผิดพลาดและครำ่ครวญถึงการได้ลูกอีกครั้งแม้ว่าจะล่วงเลยวัยมานานแล้วเต็มที หนังเริ่มด้วยบทสนทนาอันเย็นชาของหมอกับรุ่ง ป้าอรในคลินิก หนังเรื่องนี้เน้นแง่มุมความคิดของผู้หญิง (Feminism) เช่น การใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร (มินต้องฝึกพูดภาษาไทย) หรือว่าการกระทำต่างๆ ที่ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หนังมีหลายประเด็นที่น่าสนใจเช่น
- แผลบนผิวหนังของมินที่เกิดขึ้นเมื่อมาอยู่ที่ไทย คล้ายกับปัญหาด้านสัญชาตของเขาที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน
- ช่องโหว่ของประเทศที่แม้จะมีการร่างกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่ก็ไม่รัดกุม (ฉากที่ป้าอรพามินไปหาแฟนป้าที่สถานที่ราชการ)
- ป้าอรเลือกที่จะ "เชื่อ" ว่าครีมทาผิวที่คิดสูตรขึ้นเองจะรักษาแผลบนผิวของมินได้ (ความไม่สมดุลระหว่างทางกายและทางจิตของการรักษาทางการแพทย์ คนไข้ขาดศรัทธาในตัวหมอ)
- การถ่ายภาพบนรถยนต์ที่เน้นการถ่ายจากด้านหลังรถ (มุมมองที่เราปุถุชนไม่สนใจ) เพื่อเป็นการบอกว่าตัวละคร มักจะมองแต่การก้าวไปข้างหน้าโดยลืมมองไปข้างหน้า (เช่นเดียวกับฉากที่รุ่งถามมินว่าขากลับจะกลับยังไง)
- ด้วยความที่ป้าอรไม่มีลูก จึงดูแลมินราวกับว่าเป็นลูก (เสน่หา) ไม่ให้ใครมายุ่ง (ฉากที่มีเกย์มาติดพันมิน)
- ฉากที่รุ่งนั่งคลำมือมินไปตลอดทางระหว่างที่กำลังจะไปป่า โดยที่ขับรถไม่ค่อยจะมองทาง หรือโกหกเจ้านายเพื่อจะได้ไปเที่ยวยามบ่ายกับมิน แสดงถึงความเสน่หาที่ครอบงำจิตใจให้ลืมมองถึงตัวของตนเอง
- ป่าในเรื่องนี้เป็นเหมือนรโหฐานของมิน เข้าได้หลบหลีกความวุ่นวายในเมือง (มินเริ่มทอดเสื้อผ้าออกเมื่ออยู่ในป่า หรือว่ากิริยาที่เก็บผลไม้กินราวกับเป็นสัตว์ป่า ทำให้รู้สึกว่าเมื่อเราเข้าป่า ทุกคนก็มีค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะถือสัญชาตใด)
- ความแตกต่างระหว่างสังคมในเมืองกับในป่า เช่น เวลา ในป่าเป็นเสมือนสถานที่ที่ไร้ซึ่งกาลเวลา (ในเมืองจะมีเสียงต่างๆที่บอกถึงเวลาเช่น วิทยุ) ณ จุดๆนี้ขอชื่นชมเทคนิคด้านเสียงของหนังเรื่องนี้มาก
- ในป่าเป็นที่ที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ ทุกคนทุกสิ่งมีชีวิตมีคุณค่าเท่ากัน (กิริยาที่เก็บผลไม้กินของมินราวกับเป็นสัตว์ป่า และมินกลับกลายเป็นผู้ชี้นำในป่า - ฉากที่รุ่งต้องถามว่าผลไม้ชนิดนี้กินได้หรือไม่)
- รุ่งอารมณ์เสียขณะที่กำลังจูบกับมิน เพราะมินเจ็บแผล ราวกับมันเตือนความจำของมินว่ารักที่ทั้งสองกำลังสร้างนั้นเป็นรักต้องห้าม)
- ฉากที่ป้าอรร่วมรักกับเกย์ แสดงถึงว่าความสุขที่ป้าอรได้มาช่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างง่ายได้ (เกย์ถูกขโมยรถและถูกยิงตาย) ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของป้าอรที่อยากจะลูก (เกย์ใส่ถุงยาง)
- ฉากมินและรุ่งเอาขาจุ่มนำ้ริมลำธารที่ “เย็นฉ่ำ” ด้วยกัน ราวกับเป็นสัญญารักที่ทั้งสองจะเดินไปบนเส้นทางนี้ที่เลือกมาด้วยกัน ต่างจากป้าอรและเกย์ที่ร่วมรักกันใกล้ๆกับถนนที่ “แห้ง ร้าง ปล่าวเปลี่ยวและอันตราย”
- เมื่อป้าอรเข้ามาในป่า ราวกับเข้ามาห้วงลึกของจิตใจตัวเอง เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย (เอา mask มาปิดหรือการที่ได้ยินเสียงสัตว์ร้าย) ไม่ใช่ที่(ดินแดนแห่งความรักของมินและรุ่ง)ของตนเอง (พรำ่บอกมินว่าเมื่อไรจะกลับ) และยิ่งเดินไปเรื่อยๆก็ยิ่งแต่เป็นการทำร้ายตัวเองและ “หลงทาง” จนได้มาเจอมินและรุ่งกำลังแสดงความรักกันคล้ายว่าเป็นการย้ำเตือน โอกาสที่ได้จะมีคนมาเสน่หาป้าแบบนั้นยิ่งริบหรี่ลงเต็มที)
- ฉากที่ป้าทิ้งขยะลงริมธารราวกับเป็นการสาปส่งความรักระหว่างมินกับรุ่ง (รุ่งเหมือนเป็นคนที่มาขัดขวางความเสน่หาที่ป้าอรมีต่อมิน)
- ป้าอรมองที่เหี่ยวไปตามกาลเวลาของตัวเองในนำ้ ยิ่งตอย้ำป้าว่า นี่ไม่ใช่ที่ๆป้าควรจะมาอยู่เลยแม้แต่น้อย (ยิ่งป้าคิดลึกลงไปในใจที่ขุ่นเคืองตัวเองเท่าไหร่ ก็เสมือนเป็นการทำร้ายตัวเอง)
- ป้าอรยอมเล่นนำ้ ทำตัวเป็นเด็ก (ประสบการณ์น้อย ไม่มีอะไรคับข้องใจ) ทำให้อาการกระวนกระวายใจของป้าลดลง
- ป้าอรนอนร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว ที่นิ้วนางข้างซ้ายมีแหวน (ยิ่งตอกย้ำว่าแม้จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ต้องรู้สึกเดียวดาย)ในมือมีบุหรี่ ในขณะที่ในมือรุ่งจับองชาติ (สัญลักษณ์แห่งความเสน่หา) มีเพียงกอไม้กั้นระหว่างคนสองวัย
- ภายในใจของรุ่งขณะที่นอนเคียงข้างมิน เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หวาดหวั่นถึงความรักครั้งนี้ว่าจะไปได้ไกลสักเท่าไหร่ เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ฉาบฉวย
- ตอนท้ายของหนังยังกล่าวว่า ในท้ายที่สุดรุ่งก็แยกทางกับมิน และป้าอรก็ไปแสดงเป็นตัวประกอบอื่นๆ (ตอกย้ำความไม่แน่นอน)
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเสมือนการย้ำเตือนว่า หลายๆสิ่งไม่จีรังยั่งยืน และหนึ่งในนั้นก็คือ เสน่หา (ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์) สักวันก็จะมีอะไรต่อมิอะไรมาพรากจากเราไป (มดตอมอาหาร ทำลายช่วงเวลาแห่งความสุข) ดังตัวอย่างของคนสองวัยในหนัง มีเพียงใจเราที่เราาจะเข้าใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างได้หรือไม่ เราเลือกที่จะเป็นคนแก่ๆ ที่นอนร้องไห้กับตัวเอง หรือเป็นคนที่มีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตในทุกๆวัน
สวัสดีปิดเทอม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)